Guerlain Cologne Du 68 – 68 Matieres Premieres Basic Information :
ปีที่วางจำหน่าย : 2006
Perfumer : Sophie Labbé
Ingredients : Bergamot, Green mandarin, Lemon, Clementine, Citron, Blood orange, Lime, Grapefruit leaf, Basil, Fennel, Star anise, Lavender, Laurel, Cypress, Elemi, Thyme, Myrtle, Petit grain, Neroli, Mandarin oil, Lemon oil, Pear, Violet leaf, Ivy, Gentian, Currant juice, Freesia, Lily-of-the-valley, Hazelnut, Cyclamen, Cardamom, Coriander, Black pepper, Pink pepper, Nutmeg, Ginger, Jasmine, Frangipani, Magnolia, Orange blossom, Peony, Rose, Carnation, Ylang-Ylang, Litchi, Fig, Blackberry, Immortelle, Pistachio, Opoponax, Amber, Benzoin, Vanilla, Cistus, Heliotrope, Iris, Tonka bean, Sage, Musk, Patchouli, Oud, Cedarwood, Sandalwood, Vetiver, Ambrette seed, Praline, Myrrh, Lichen

อากาศช่วงนี้เป็นอากาศที่อึดอัดสำหรับเรา บางวันก็ร้อนแดดเปรี้ยง บางวันก็อับชื้น รอช่วงฝนตก เลยเป็นเหตุให้ต้องใช้กลิ่นที่ช่วยคลายความอึดอัด ขุ่นข้องใจ เลยมีโอกาสหยิบขวดนี้ออกมาใช้ค่ะ
Guerlain Cologne Du 68 นี้ จริงๆมีที่มา 2 อย่าง
อันดับแรก กลิ่นนี้ทำออกมาเพื่อชวนรำลึกถึงบูติดของเกอร์แลงค์เอง ที่ตั้งอยู่ 68, Avenue des Champs-Elysées
ในส่วนที่สอง เป็นเพราะกลิ่นนี้มีส่วนผสม 68 อย่าง ที่เป็นวัตถุดิบหลักๆ ของนำ้หอมกลิ่นต่างๆของยี่ห้อเกอร์แลงค์ค่ะ
ต้องบอกก่อนว่า มีกลิ่น Guerlain Le Parfum du 68 ที่ออกวางขายในปี 2013 อันนั้น เป็นคนละตัวกับขวดนี้นะคะ ผู้ปรุงกลิ่นเป็นคนละท่านกันค่ะ ในรีวิวนี้ จะขอเอ่ยถึงแต่เจ้าโคโลญจน์นะคะ
ถ้าไล่วนดูส่วนผสมแล้ว เราว่าเดากันได้ไม่ยากเลยว่า กลิ่นจะออกมาโทน อโรมาติค-ซีตรัส ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นกลิ่นแรกที่สัมผัสได้ จะเป็นกลิ่นของเหล่านำ้มันส้มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเปลือกส้ม ผลส้ม หรือยอดใบส้ม ซึ่งในกลิ่นมารวมกันมามีความโปร่ง บางเบา ไม่ได้เสียดแทงจมูกเหมือนอย่างโทนซีตรัสทั่วไป กลับเจือไปด้วยความสดเขียว เรารู้สึกว่าในช่วงกลิ่นนี้ เรียกความสดชื่น และผ่อนคลายอารมณ์ที่กำลังตึงได้ที่ออกได้อย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าดมในครั้งแรก จะคิดว่าเหมือนโคโลญจน์โดยทั่วไป แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจนะคะ เพราะถ้าผ่านช่วงเปิดไปแล้ว จะเริ่มมีกลิ่นของดอกไม้บางเบา ราวกับสัมผัสกลิ่นอ่อนโยนของดอกไม้ ที่ยังคงเบ่งบานอยู่บนกิ่ง
แต่แล้วเมื่อกลิ่นดอกไม้คลายตัวลง เราได้กลิ่นหวานละมุนของวานิลลาติดที่ที่ผิว ลอยขึ้นมาปะทะจมูก ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายได้มากขึ้น กลายเป็นโทนกลิ่นหอมติดผิวที่ดมแล้ว ทำให้ไม่อยากละจมูกไปทางอื่น
ในช่วงกลิ่นที่เล่ามา ใช้เวลาเพียง 3-5 ชั่วโมงบนผิวเราค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะกลิ่นนี้ สามารถฉีดเติมซำ้ที่เดิม เรียกความสดชื่นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงที่อากาศร้อนจนใจร้อนตามอากาศไปด้วยเลย
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวสำหรับเรา คือ กลิ่นนี้เลิกผลิตออกมาขายแล้วค่ะ
หมายเหตุ : กลิ่นที่ได้และรีวิวนั้นมาจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีประสาทสัมผัสที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความทรงจำ และสภาพแวดล้อม ไปจนถึงบุคลิกของผู้ใช้งานแต่ละบุคคลค่ะ