ต้นเหตุของรีวิวนี้ มาจากที่เราลองน้ำหอมกลิ่นกุหลาบหลายๆโทน เลยเอามาแนะนำเพื่อนๆ ใกล้เทศกาลแล้ว เผื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจซื้อเป็นของขวัญ ทั้งให้ตัวเอง และให้คนที่เรารักนะคะ
ในน้ำหอมหลายๆกลิ่นของผู้หญิง มักจะมีกลิ่นของดอกไม้มากเป็นอันดับต้นๆ โดนเฉพาะกุหลาบ ราชินีของดอกไม้ ตัวแทนของความรัก อีกทั้งยังเป้นกลิ่นที่แสดงถึงเสน่ห์ของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี (เรายังไม่ได้ลองกลิ่นกุหลาบที่ไปในแนว Masculine นะคะ เลยยังไม่ได้หยิบมาเล่าในรอบนี้ ขอหยอดกระปุกอีกหน่อย คงได้ลองอีกไม่ช้าค่ะ)

แรกเริ่มเดิมที เราไม่ได้ชอบกลิ่นกุหลาบเลย แต่เป็นคุณแม่ของเราค่ะ ท่านเป็นแฟนกุหลาบตัวยง เลยต้องไปสรรหามาลอง จะได้เลือกกลิ่นที่ถูกใจท่านได้น่ะค่ะ
แล้วก็มีที่กลุ่มแรก กุหลาบที่ไม่ใช่กุหลาบ อา…. งงกันล่ะสิคะ

ซ้าย Balenciaga L’eau Rose
ตัวนี้แตกไลน์มาจาก Balenciaga Paris จากตัวต้นตำรับที่ดูสวย หยิ่ง มองคอเคล็ด มาเป็นสาวน้อยวัยเริ่มทำงาน อ่านจากโน้ตกลิ่นว่ามีกุหลาบนะคะ แต่เราดมยังไงก็ไม่ได้กลิ่นนะ กลิ่นของเบอร์รี่เด่น กลบจนมิดเลยทีเดียว เราว่าใส่ทำงาน ไปเที่ยว ได้หมดค่ะ อาจจะไม่ค่อยทนเท่าไหร่นะคะ 4-5 ชั่วโมง พออากาศร้อนๆ กลิ่นยิ่งไปไวมากขึ้นค่ะ
ขวา Cartier Baiser vole lys Rose
สาวน้อยลิลลี่ที่เพิ่มความสดใสด้วราสพ์เบอร์รี่ คำว่า Rose ในชื่อนี้ มาจากสีดอกกุหลาบนะคะ ไม่ใช่ดอกกุหลาบ เราหลงเข้าใจผิดมาแล้วรอบนึงนะคะเนี่ย
หลายๆคนได้ลองแล้ว ปลาบปลื้มกลิ่นนี้มากกว่าตัวต้นตำรับ เนื่องจากกลิ่นใสมากขึ้น หอมหวาน แต่ไม่เลี่ยน เหมือนสาวหวานที่แอบเปรี้ยวจิ๊ดๆอยู่ข้างใน ยิ่งอากาศเย็น กลิ่นยิ่งฟุ้งค่ะ
กลุ่มถัดมา เราเรียกว่า กุหลาบทันสมัย

ซ้าย YSL Parisienne EDP
กลิ่นกุหลาบที่มาพร้อมผ้าใบพลาสติก ดมครั้งแรกพาให้นึกถึงยาแก้ไอเด็กที่ใช้ป้อนลูก นึกว่าเซ็กซี่ตามคำโฆษณา ก็นึกไม่ออกค่ะ กลิ่นออกมนๆวนๆคมในลำคอ แต่พอทิ้งไว้ซักพัก กลิ่นหอมมากขึ้น กลิ่นกระจายตัวได้ค่อนข้างดี หอมแบบผู้หญิงที่จริตแพรวพราวเลยทีเดียว เหมาะกับดินเนอร์ ท่องราตรี สาววัยทำงานขึ้นไปจะเหมาะกับกลิ่นนี้นะคะ มัธยม นักศึกษา เราว่าออกจะแรงไปหน่อยค่ะ
กลาง Lanvin Rumeur 2 Rose
เป็นอีกตัวที่สีกุหลาบ และเป็นกุหลาบแทรกมากับกลิ่นฟรุ้ตตี้ เราจะได้กลิ่นของผลไม้ตระกูลส้ม กับมะนาวขึ้นมาก่อน แล้วค่อยๆ กลายเป็นดอกไม้ค่ะ กลิ่นนี้น้องๆจนถึงวัยสาวๆมหาวิทยาลัยเหมาะนะคะ น่ารัก สดใสดีทีเดียว กลิ่นออกแนวปลอดภัย ดมแล้วชื่นใจค่ะ
ขวา Fendi L’Acquarossa
กลิ่นนี้ประกาศเลิกผลิตแล้วนะคะ แอบเสียดายเบาๆ แต่เราว่าในท้องตลาดยังพอหาได้อยู่
ตัวนี้ให้อารมณ์สาวทำงานเก๋ๆนะ วูบแรกนี่ กลิ่นมะนาว ลูกพรุน สุกๆฉ่ำๆลอยมาก่อน จากนั้นกลิ่นกุหลาบกับมัสก์จะตามมา นึกถึงสาวกระโปรงพริ้วๆ ตาคมๆค่ะ ช่วงกลางวันก็ใช้ได้ ช่วงเย็นก็เพิ่มสเปรย์หน่อย หอม หรู ดูแพงเลยทีเดียว แถมติดทนนาน กลิ่นฟุ้งเต็มที่เลยนะคะ มีช่วงนึง เราใช้จนเป็นกลิ่นประจำตัวไปเลยค่ะ
กลุ่มถัดมา เป็นขนมกุหลาบ

ซ้าย Dolce & Gabbana rose the one
กลิ่นนี้เป็นรุ่นลูกของ D&G The One ที่ยังคงใช้คอนเซปท์เดิม ของความเซ็กซี่แบบนุ่มนวล ชวนฝัน ในรุ่นนี้ กลิ่นวานิลลาได้ตัดทอนให้น้อยลง และเพิ่มความหอมละมุนของดอกกุหลาบเข้ามา ทำให้กลิ่สดใสมากขึ้น แต่ในเบสกลิ่นยังคงหอม หวานเด่นๆจากวานิลลาเหมือนเดิมค่ะ
สาวๆวัยรุ่นตอนปลาย วัยทำงานใช้ได้หมดนะ กลิ่นติดทนดี ฟุ้งกระจาย เป็นเอกสักษณ์ดีด้วยค่ะ บนผิวเราอยู่ได้จนถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ขวา Jo Malone Rose Water & Vanilla Cologne Intense
โจ มาโลนในรุ่นเข้มข้น เป็นกลิ่นที่เรารู้สึกว่าใช้โดดๆกลิ่นเดียว จะหอมกว่าใช้ร่วมกับกลิ่นอื่น กลิ่นกุหลาบจางๆมากๆค่ะ ที่เด่นๆ จะเป็นกลิ่นสานิลลามากกว่า กลิ่นนี้ทำให้เรานึกถึงวุ้นกรอบหวานๆ ที่หวานมากและมีขมๆเบาๆอยู่ในลำคอ
สไตล์ป้าโจนะคะ กลิ่นฟุ้งเบาๆติดไม่นานเม่าไหร่ ถึงจะเป็น intense ก็ตามค่ะ สายแบ๊วนี่ได้สบายๆเลยค่ะ
กลุ่มนี้ เราให้ชื่อว่าเครื่องดื่มดอกกุหลาบ แสนชื่นใจค่ะ

ซ้าย Stella McCartney
เป็นกุหลาบแดงที่แช่มาในน้ำชา อ๊ะ! แต่กลิ่นไม่ได้แปลกอะไรนะคะ เราว่าเป็นกลิ่นที่มาในโทนเย็น นึกถึงชาดำเย็นโรยใบกุหลาบ อะไรประมาณนั้น กลิ่นฟุ้ง หอม ชื่นใจ กลิ่นไม่ทำร้ายคนข้างๆ 90% ที่ได้ลองกล่าวกันว่าหอม ผ่านค่ะ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่นะ ติดทนราวๆ 6 ชั่วโมงค่ะ
ขวา JLO Still
กลิ่นกุหลาบที่ปนใบชาอีกกลิ่น แต่อันนี้บวกสาเกเข้ามาอีกต่างหาก แต่กลิ่นไม่ได้ชวนมึนเมานะคะ เป็นกลิ่นกุหลาบแบบฟุ้งๆ เหมือนหญิงสาวที่อยู่ในโลกความฝัน กระโปรงบานฟูฟ่อง ให้อารมณ์วินเทจนิดๆ ที่สำคัญราคาไม่แพงนะคะ คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลย ใช้ยามกลางวัน จะเหมาะกว่ากลางคืนค่ะ
กลุ่มถัดมา กุหลาบจากแดนตะวันออกกลางค่ะ

ซ้าย Ajmal Wisal
เป็นน้ำหอมที่เรียกได้ว่า เป็นตัวสร้างชื่อของแบรนด์อัจมาลค่ะ ด้วยกลิ่นกุหลาบที่มาในแนวอาหรับเบาๆ กลิ่นนี้ใช้ได้ทั้งชายและหญิง ด้วยควสามที่เค้าไม่กุหลาบจ๋าจนเกินไป กลิ่นนี้ให้ฟีลถึงดอกกุหลาบที่บานอยู่กลางกระโจมกลางทะเลทรายค่ะ กลิ่นติดทนได้ถึง 8 ชั่วโมงแบบสบายๆ ยิ่งอากาศเย็น กลิ่นยิ่งงามค่ะ ส่วนราคาก็น่าคบหา 50 ML อยู่ที่ 900 บาท ราคาหน้าร้านอัจมาลนะคะ
กลาง Dior Oud Ispahan
จากคอลเลคชั่นสุดอลังการงานสร้างของดิออร์ กุหลาบผสมกฤษณาที่ดูลุ่มลึกและละมุน เทียบกลิ่นกับ Wisal ขวดนี้ จะออกมาดนุ่มลึกกว่าค่ะ แต่ความฟุ้งไม่เท่าตัว Wisal ออกเป็นแนววกลิ่นติดผิว ชวนให้ดมแบบแนบชิดมากกว่า
เราสังเกตเห็นผู้ชายชอบกลิ่นนี้กันมากนะคะ ใส่แล้วดูหล่อขึ้นอีกเท่าตัวเลย ชวนให้นึกถึงดินเนอร์ยามเย็น แล้วต่อบนฟลอร์เต็นรำค่ะ
ขวา Jo Malone Velvet Rose and Oud
เป็นอีกกลิ่นที่มาจากไลน์ exclusive ของโจ มาโลนนะคะ ถ้าฉีดแบบหลับตา กลิ่นใกล้เคียงกับ Oud Ispahan พอสมควร ต่างกันตรงที่โจ มาโลน จะมีกลิ่นของดอกกุหลาบออกมามากกว่าค่ะ ตัวนี้ติดทน สมราคาค่าตัวนะคะ ใช้ได้ทั้งชายและหญิง เช่นกันค่ะ
ในกลุ่มนี้เราชอบกลิ่นของโจ มาโลนที่สุด เพราะกลิ่นของกฤษณา มาไล่ๆกับกุหลาบ ไม่มีใครแย่งซีนกันค่ะ
กลุ่มถัดมา เป็นกุหลาบที่เป็นกุหลาบจริงๆค่ะ (อ้าว! งงกันอีกรอบ) คือ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เราดมแล้ว รู้สึกว่า ช่างเป็นกลิ่นกุหลาบแบบที่ไม่มีกลิ่นอื่นมาเจือปนค่ะ
ตัวแรก ลืมหยิบมาเข้ากลุ่ม เลยเล่าก่อนละกัน

Floris White Rose EDT
Niche Brand จากอังกฤษ มีประวัติมาอย่างยาวนาน ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1730 ได้รับตราพระราชทานจากราชวงศ์อังกฤษจากการรับใช้ราชวงศ์มาอย่างยาวนานค่ะ
กลิ่นนี้พอดมครั้งแรก จะรู้สึกบาดจมูกเล็กน้อยค่ะ ทิ้งไว้ซักครึ่งนาที กลิ่นของกุหลาบขาว เบาๆจางๆจะเริ่มลอยมา ชวนนึกถึงสวนดอกกุหลาบขาว จิบชาเบาๆ เคล้าเสียงนกร้องค่ะ พอทิ้งไว้จนกลิ่นเริ่มจาง จะออกเปนกลิ่นแป้งเบาๆที่ผิว สำหรับเรา กลิ่นนี้อยู่ได้ 4-6 ชั่วโมงค่ะ ใส่ในวันสบายๆ นั่งอ่านหนังสือบนเปล ลมพัดปลิวๆนี่เข้ากันมากเลยค่ะ

อันนี้รูปหมู่ เรียงชื่อจากซ้ายไปขวานะคะ
Penhaligon’s Elizabethan Rose
น้ำหอมนีชแบรนด์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ ประวิศาสตร์ยาวนานเช่นกันค่ะ กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่คุณแม่เราชอบมากที่สุดในบรรดากุหลาบทั้งหมดทั้งมวลค่ะ เป็นกลิ่นของช่อกุหลาบหลากสีสดฉ่ำ สดชื่นเย็นใจ หอมละมุนมากๆเลยค่ะ ราคาก็ตามสมควร แต่ถ้าเป็นแฟนกุหลาบ เราแนะนำให้ซื้อเลยค่ะ คุ้มทุกละอองสเปรย์ที่ใช้เลย กลิ่นดีมาก แต่ความคงทนประมาณ 4-6 ชั่วโมง ถ้าอยากให้อยู่นานๆคงต้องสเปรย์ซ้ำ แต่ใครสนกันล่ะ กลิ่นหอมขนาดนี้ สเปรย์บ่อยๆก็ชื่นใจบ่อยๆค่ะ
Jo Malone Red Rose
กลิ่นของช่อกุหลาบแดง ที่แปรตามสภาพเวลา จากครั้งแรกที่ฉีด ชวนให้นึกถึงช่อกุหลาบแดงช่อใหญ่ๆ พอทิ้งเวลาไปเรื่อยๆ กลิ่นท้ายๆจะกลายเป็นกลิ่นของดอกกุหลาบแห้ง ชวนให้นึกถึงความทรงจำเก่าๆค่ะ
เป็นอีกกลิ่นที่ใช้ร่วมกับแบรนด์ โจ มาโลนได้ดีเยี่ยม หากมีกลิ่นอื่นๆติดบ้านนะคะ ตัวเราเองจะชอบใช้ร่วมกับ Pomegranate Noir ทำให้กลิ่นซอฟท์ และชวนฝันมากขึ้นค่ะ
The Perfumer’s Workshop Tea Rose
ต้นตำรับของกลิ่นกุหลาบ ยกกันมาทั้งดอก ใบ และรากเลยทีเดียวกับกลิ่นนี้ มีขายกันมายาวนานนะคะ สนนราคาก็ไม่แพง สาวๆสมัยใหม่อาจจะว่า กลิ่นฉุนบ้าง บาดจมูกบ้าง เราแนะนำให้ใช้สัก 2 สเปรย์ ฉีดไกลแล้วเดินผ่านค่ะ จะได้กลิ่นที่ไม่แสบจมูก เผลอๆ อาจจะหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียวค่ะ
Paul Smith Rose
หากใครที่อยากลอง Penhaligon’s Elizabethan rose แล้วงบยังไม่ถึง เราแนะนำตัวนี้นะคะ เป็นกุหลาบสีชมพูชวนฝัน ออกแนวสาวหวาน เปี่ยมสุขเลยทีเดียว กลิ่นจะไม่ได้กระจายมาก ออกติดผิวเบาๆ คลอตามสายลมค่ะ อาศัยเติมระหว่างวันก็ยังไม่ฉุนนะคะ ราคาน่าคบหา บางปีก้มีออกลิมิเต็ด อิดิชั่นให้สะสมขวดอีกต่างหาก
Adolfo Dominguez Agua Fresca de Rosas
กลิ่นกุหลาบขาวจากดีไซเนอร์ สัญชาติสเปน เป็นกุหลาบอีกตัวที่หาลองกันได้ยาก เนื่องจากไม่มีเคาท์เตอร์ในไทยนะคะ ตอนนี้เริ่มกลายเป็นของวินเทจแล้วอีกต่างหาก
กุหลาบตัวนี้ กลิ่นจะฉุนกว่า Floris White Rose พอประมาณค่ะ และให้ความรู้สึกของกุหลาบขาวที่สด ฉ่ำน้ำมากกว่า แต่ช่วงท้ายๆกลิ่นก็ยังคงเป็นแป้งหอมติดผิว เราว่าตัวนี้แอบเซ็กซี่นะคะ เหมือนสาวทำงานใส่สูท แต่ข้างในใส่ซีทรูไว้ ประมาณนั้นเลย ปลื้มกลิ่นนี้มากค่ะ
กลุ่มต่อมา เราให้ชื่อว่า กุหลาบไฮโซ

ซ้าย Bvlgari Rose Essentielle EDP
น้ำหอมจากค่ายจิวเวอรี่ ที่ทำออกมาๆได้งดงามไม่แพ้เครื่องประดับค่ะ กลิ่นนี้เป็นกลิ่นของแป้งหอมคลุกเคล้ามากับดอกกุหลาบ เป็นกลิ่นที่ทำให้เรานึกถึงสาวทำงาน ไปจนถึงคุณนายรุ่นกลางๆ แต่งตัวภูมิฐาน หรูหรา ไฮโซเลยทีเดียว
กลิ่นนี้ออกเป็นออร่าจางๆนะคะ แต่ติดทนมากเลย สำหรับเรา ได้กลิ่นอยู่ 8-10 ชั่วโมงค่ะ ใส่ในวันทำงานช่างเหมาะเหม็งสุดๆเป็นกลิ่นต้นๆที่เราแนะนำเพื่อนๆให้ลองเลยค่ะ
ขวา Chloe Rose de Chloe
ตัวนี้แตกไลน์มาจากต้นตำรับอีกเช่นกัน จาก Chloe EDP ที่เป็นกลิ่นฟุ้งๆ มาเพิ่มความหวานและอ่อนเยาว์มากขึ้นของดอกกุหลาบ ลดอายุจากตัวเดิมพอสมควรเลยทีเดียวค่ะ ความฟุ้งกระจายทำได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนความติดทน ผิวเราใช้ได้ถึง 6 ชั่วโมงค่ะ อ้อ!! กลิ่นนี้คนที่ใช้ มักจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่คนที่อยู่รอบข้างจะได้กลิ่นชัดเจนนะคะ เวลาใช้ต้องเบามือหน่อยค่ะ
กลุ่มนี้ กุหลาบแบบวินเทจ

ซ้าย Jean Patou 1000 EDT
1000 เคยได้ชื่อว่าเป็นน้ำหอมที่แพงที่สุดในโลก กลิ่นนี้เราซื้อตามคำแนะนำของเพื่อนผู้รักน้ำหอมเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ เป็นแนวกลิ่นแบบ Old Style ซึ่งบางคนก็ว่าแก่ แต่เรากลับคิดว่าเป็นกลิ่นที่น่าค้นหาอีกกลิ่นนึงทั้งส่วนผสม และความซับซ้อนของเนื้อกลิ่น กลิ่นนี้ชวนให้นึกถึงพวงกุหลาบแห้งที่แขวนอยู่เหนือเตาไฟ มีความอุ่นอยู่ในกลิ่น ถ้าใครชอบสไตล์ Coco , Chanel No.5 เราว่า กลิ่นนี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยากค่ะ ความติดทน ให้ถึง 10 ชั่วโมง ส่วนราคาก็แสบสันต์ไม่แพ้กัน ถ้าจำไม่ผิด ตัวนี้ไม่มีวางขายในเมืองไทยแล้วนะคะ
ขวา Jean Charles Brosseau Ombre Rose L’Original
อีกกลิ่นนึงที่อยากแนะนำให้ลองค่ะ เป็นกลิ่นกุหลาบยุคเก่า คล้ายๆแป้งหอมกลิ่นกุหลาบค่ะ กลิ่นติดผิวแบบแนบแน่นและไม่ค่อยเปลี่ยนจากทอปโน้ต ไปเบสโน้ต ความคงทนได้ถึง 8 ชั่วโมง เหมือนจะไม่เห็นวางขายในเคาท์เตอร์ไทยเหมือนกันนะคะ
เคยแบ่งให้เพื่อนลองใช้ ได้ฟีดแบคมาว่า ใส่ตอนก่อนนอน ชวนหลับสบายดีจริงๆค่ะ
กลิ่นสุดท้ายของกระทู้นี้ เราเรียกว่า กุหลาบประหลาดค่ะ

Serge Lutens Feminite du Bois
เป็นกลิ่นที่เราดมครั้งแรกถึงกับผงะ แล้วบอกว่า กลิ่นไรฟระ??!!?? ซื้อมาเพราะความเข้าใจผิด นึกว่าเป็นอีกกลิ่นที่อยากได้แทน เลยจำต้องใช้เพราะคืนของไม่ได้แล้วน่ะค่ะ
หลังจากที่ใช้ไป 2-3 ครั้ว กลับพบว่าดีงามกว่าที่คิด มารู้ตัวอีกที เราก้ตกหลุมรักตัวนี้เข้าแบบถอนตัวไม่ขึ้นเลยทีเดียวค่ะ ฉีดลงไปครั้งแรก เราได้กลิ่นของลูกพีช ลูกพลัมคลุกมากับอบเชย หวานปะแล่มๆ แต่พอทิ้งไว้เรื่อยๆ กลายเป็นว่ากลิ่นหอมมึนๆ นัวๆมากขึ้น กลิ่นกุหลาบเพิ่งจะมาตอนนี้เนี่ยล่ะค่ะ แถมมีวานิลลากับมัสก์ติดผิวละมุนเบาๆ พอให้ชวนเคลิ้มได้ไม่ยาก
แต่ต้องระวังนิดนึง ถ้าคนเริ่มใช้น้ำหอมใหม่ๆ กลิ่นนี้เรายังไม่แนะนำนะคะ เดี๋ยวจะพาลเกลียดน้ำหอมเอาได้ค่ะ