

L’artisan Parfumeur เป็นอีกหนึ่งนีชแบรนด์ของคอน้ำหอมที่น่าสนใจนะคะ จากแรงบันดาลใจรอบตัว กลายมาเป็นน้ำหอมให้เราได้ลองสัมผัสและล่องลอยจินตนาการตามผู้ปรุงน้ำหอม
ตามประสาคนชอบลองกลิ่นใหม่ๆค่ะ กว่าจะเลือกกลิ่นที่น่าสนใจมาได้ ก็นั่งอ่านรีวิวในเวป fragrantica อยู่เนิ่นนาน ขอบอกว่า อ่านอย่างเคร่งเครียดกว่าตอนอ่านหนังสือสอบสมัยเรียนเสียอีกด้วยซ้ำ
นั่งเลือกทีละตัวๆ จนกลายมาเป็นน้องๆ ขวดงามๆ ตามนี้เลยค่ะ
หลังจากได้ของมา รีบแกะอย่างไม่รอช้า อื้อหือ! ขวดช่างงามถูกใจเสียจริงๆ ฝาหนักแน่น เป็นแม่เหล็กอีกต่างหาก วางเรียงๆกันนี่ ดูสวยงามไม่น่าเบื่อเลยนะคะ
ว่าแล้วอย่ารอช้า มาไล่ดมทีละกลิ่นดีกว่า (โชคดีข้างกล่องมีชื่อภาษาไทยเขียน เราเลยเติมไว้ให้นะคะ เผื่อเอาไปใช้เรียกกัน ชื่อฝรั่งเศสนี่ เราไม่คุ้นเคยจริงๆเลยค่ะ)


L`Artisan Parfumeur Mechant Loup (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ เมอซอง ลู)
Fragrance Notes : Hazelnut, honey, sandalwood, cedar, licorice and myrrh, woody notes, Praline
จากชื่อที่แปลว่า เจ้าหมาป่าพิโรธ (Angry Wolf) กลายมาเป็นกลิ่นโทนเขียวป่าดงดิบ เราได้กลิ่นของน้ำผึ้ง ท่อนไม้ รากหญ้า และความดิบชื้น
กลิ่นนี้คนที่ไม่ค่อยได้ลองน้ำหอมหลายๆแบบอาจจะงงๆเล็กน้อย ด้วยความเขียวแบบตะไคร่น้ำ และความหวานจากชะเอมและน้ำผึ้ง ผสานกันอย่างดีแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียวค่ะ เรายอมรับเลยว่า ครั้งแรกที่ดมกลิ่นนี้บนกระดาษถึงกับผงะ แต่พอลองฉีดที่ผิวแล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก กลิ่นจะเริ่มคลายความเขียว แล้วค่อยๆหอมละมุนขึ้นค่ะ
ตัวนี้ เราชอบใช้ในห้องแอร์มากกว่าอยู่ข้างนอกอากาศร้อนๆนะคะ จะหอมนุ่มมากกว่า แล้วไม่เหม็นเขียวเวลาเจอกลิ่นเหงื่อค่ะ
ดูๆแล้ว ใช้ได้ทั้งชายและหญิง พอจับฉีดผสมกับกลิ่นอื่นก็ช่วยให้กลิ่นนั้นสดชื่นขึ้นได้มากขึ้นค่ะ


L`Artisan Parfumeur Premier Figuier Extreme (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ เปรอแมร์ ฟิลุยเย เอกซ์ทรีม)
Fragrance Notes : coconut milk, sandalwood, dried fruits, fig leaf, almond milk, fig and fig tree
ตัวนี้ซื้อเพราะรีวิวฝรั่งกล่าวว่าคล้ายกับ Diptyque Philosykos อีกกลิ่นโปรดของเราค่ะ
แต่ๆๆ หลังจากที่ได้ลองกลิ่นแล้ว มันไม่ใช่นะคะ กลิ่นเปิดแรกทำให้เรานึกถึงน้ำกะทิข้นๆที่ใช้ราดซ่าหริ่ม แต่ว่ายังมีความเขียวของใบไม้ ซึ่งไม่ใช่ใบเตย อ่านจากโน้ตแล้วคือใบมะเดื่อ และมาพร้อมกับกลิ่นของต้นมะเดื่อเลยค่ะ
หลังจากที่ดมแบบรวมๆ ทำให้เรานึกถึงลูกเกด มะเดื่อ อินทผลัม นอนกลิ้งอยู่ในตะกร้าแล้วราดด้วยน้ำกะทิ ประมาณนั้นค่ะ เนื้อกลิ่นมีทั้งความหวาน มันในอารมณ์เดียวกัน
บางครั้ง กลิ่นนี้ก็ทำให้เราเวียนหัวได้มากกว่าที่คิด เรามักจะหยิบตัว Mechant Loup เข้ามาฉีดทับ เพื่อเพิ่มกลิ่นเขียวๆให้ความสดชื่นมากขึ้นค่ะ เราว่า ทำให้หอมขึ้นด้วยอีกต่างหาก
กลิ่นนี้เหมาะสำหรับคนรักกลิ่นขนมหวานจริงๆนะคะ ถ้าไม่ใช่แนวนี้อาจจต้องร้องยี้เลยทีเดียวค่ะ


L`Artisan Parfumeur Seville a l’aube (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ เซอวิล อาลูป)
Top Notes : Petitgrain, Olive Blossom
Middle Notes : Lavender, Orange Blossom, Beeswax, Tobacco
Base Notes : Benzoin, Olibanum
กลิ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวอันแสนโรแมนติกจากนักปรุงน้ำหอม (สุคนธกร) Bertrand Duchaufour โดยใช้ส้มเป็นตัวเล่าเรื่องราวในเหตุการณ์ค่ะ
ถ้าใครคุ้นน้ำหอมกลิ่นส้ม อาจจะต้องสลัดความคุ้นเคยออกไป แล้วลองกลิ่นนี้ใหม่นะคะ เพราะว่ากลิ่นเปิดนั้น มาด้วยความเขียวจากกลิ่นของส้มซ่า และดอกมะกอก ให้ความเขียวขมอยู่ในลำคอ หลังจากนั้นกลิ่นของดอกส้มจะค่อยๆเปิดตัวมาเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ส้มในโทนสดชื่นแบบที่เราคุ้นเคย กลับกลายเป็นกลิ่นที่ดูหม่นๆจากยาสูบและเทียนไข แล้วคล้อยกลายไปในความมืดมนเรื่อยๆ
กลิ่นนี้ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศย่ำค่ำที่เราต้องจุดเทียนไขและกองฟืนพร้อมกองเปลือกส้ม (จะเนื้อส้มก็ไม่ได้ เพราะกลิ่นไม่ได้ไปในทางนั้นเลย)แล้วนั่งอยู่ข้างๆช่อดอกลาเวนเดอร์ ไม่ได้ให้โทนความสดใสอย่างสีของน้ำหอมเลยนะคะ เราว่ากลิ่นนี้ ใช้ยามบ่ายถึงค่ำ น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ
ครั้งแรกที่เราลองจากกระดาษเราชอบกลิ่นนี้มาก แต่พอลองฉีดที่ผิวแล้ว กลับตาลปัตรเหมือนหนังคนละเรื่องเลยค่ะ อาจเป็นเพราะเคมีเรากับน้ำหอมไม่เข้ากัน


L`Artisan Parfumeur Dzongkha (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ ดองก้า)
Top Notes : Peony, Cardamon, Litchi
Middle Notes : Spices,White Tea, Vetiver, Incense, Cedar
Base Notes : Leather, Iris, Papyrus
กลิ่นนี้ยอมรับเลยว่าเราไม่ได้เลือกตั้งแต่ครั้งแรก แต่พอมีเพื่อนแนะนำมา เลยตัดสินใจรับมาอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ เป็นกลิ่นที่หาได้ไม่ง่ายในตลาดน้ำหอมทั่วไป ดูเก๋ มีสไตล์ค่ะ
หลังจากที่ฉีดที่ผิวครั้งแรก จมูกของเราจับได้ได้กลิ่นของเครื่องเทศขึ้นนำก่อนเลยค่ะ แล้วหลังจากนั้นกลายเป็นกลิ่นชาชุ่มคอ เจือมาพร้อมกับกลิ่นกำยาน ให้ความรู้สึกสงบนิ่ง และกลิ่นเครื่องหนังปนกับไอริสนุ่มๆ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากขึ้นค่ะ
ที่มาของกลิ่นนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากประเทศภูฏาน ที่มีทั้งความสงบ ร่มเย็น และศรัทธา รู้สึกคิดไม่ผิดเลยค่ะ ที่รับกลิ่นนี้มาสะสมค่ะ เป็นอีกกลิ่นที่แนะนำให้ลองทันที ถ้ามีโอกาสค่ะ


L`Artisan Parfumeur Caligna (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ คาลีนา)
Top Notes Clary Sage, Fig, Rose, Mandarin Leaf
Middle Notes Jasmin, Mastic or Lentisque, Violet
Base Notes Pine needles, Oak, Ambroxan
คาลีนา เป็นอีกกลิ่นหนึ่งที่มาในแนวดอกไม้ผสานกับสมุนไพร ในระดับความเข้มข้นแบบ Eau de Parfum ซึ่งราคาตัวนี้จะสูงกว่าเพื่อนๆในไลน์เดียวกันนะคะ
กลิ่นเปิดของคาลีนา มาจากความหวานหอมของมะเดื่อ เซจ ใบส้ม ให้ความรู้สึกเขียวสดชื่นนำหน้ามาก่อนเลย
หลังจากนั้นกลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ จากมะลิ กุหลาบ ไวโอเลตก็ค่อยๆบานแย้มออกมา แต่ไม่ได้มาแบบหวานๆ ยังคงมีกลิ่นเขียวจางๆตามออกมา ทำให้เรารู้สึกถึงดอกไม้ที่ยังอยู่คาต้น ทั้งหอมและคงความสดชื่นไว้ตลอดค่ะ เหมือนหญิงสาวที่เดินอยู่ท่ามกลางสวนต้นไม้ในเรือนกระจกค่ะ กลิ่นหอมเย็นสดชื่นดีทีเดียว


L`Artisan Parfumeur La Chasse aux Papillons (ลาร์ตทิซอง พาร์ฟูมเมอร์ ลา ซาส โอ ปาปิยง)
Notes : Tuberose, orange blossom,Jasmin,lime (linden) blossom and white flower
มาถึงกลิ่นสุดท้าย เป็นกลิ่นที่เราชอบที่สุดที่ซื้อมาพร้อมกันเลยค่ะ จากเดิมที่เราชื่นชอบกลิ่นแนวดอกไม้สีขาวเป็นพิเศษ ตอนแรกมองข้ามไป เพราะอ่านรีวิวแล้วรู้สึกว่า กลิ่นดูง่ายเกินไป แต่พอมานึกอีกที ก็น่าสนใจในความง่าย และดูธรรมดา น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ
หลังจากที่ได้ลองครั้งแรก เรากลับรู้สึกว่ากลิ่นนี้ดูธรรมดา ไม่น่าสนใจด้วยซ้ำ แถมเกินราคาที่สมควรจะเป็นอีก นั่งบ่นอยู่ในใจคนเดียวค่ะ เราฉีดลงที่ตัวแล้วไปนั่งอ่านหนังสือ จากตอนแรกที่ได้กลิ่น คือกลิ่นดอกไม้แช่เย็น หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง เราได้กลิ่นมะลิลอยขึ้น และตีขึ้นเป็นระยะๆ
รู้สึกเลยว่า ในความเรียบง่ายนี้แหละ สามารถดึงความสนใจของเราไปได้อย่างไม่ขาดสาย กลิ่นกลางเป็นกลิ่นของดอกมะลิที่กำลังค่อยๆบานอย่างช้าๆ ไปเรื่อยๆค่ะ สาวกกลิ่นมะลิอย่างเราต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับกลิ่นนี้เลย กลายเป็นว่ารักมากๆไปเลยค่ะ เรื่องความคงทน ของเราอยู่ได้ประมาณหกชั่วโมงนะคะ
กลิ่นนี้เราแนะนำให้กับสาวๆมากกว่า เพราะดูหวาน สุภาพ เรียบร้อย ถ้าเป็นผู้ชายใช้ คงได้แอบคิดไปในทางอื่นในใจเป็นแน่แท้เลยทีเดียวค่ะ
จากที่ได้ลองทุกกลิ่นมา เราค่อนข้างมั่นใจว่า แต่ละคนที่ได้ลองใช้ในกลิ่นเดียวกัน จะรับรู้และสัมผัสกลิ่นไปในทางที่ต่างกันออกไปค่ะ แนะนำเลย
สำหรับคนที่สนใจน้ำหอมยี่ห้อนี้ อย่าเพิ่งตัดสินใจจากครั้งแรกที่ได้ลอง อย่างตัวเราเอง ตัดสินใจในทางตรงข้ามกันเกือบทุกกลิ่น จากการลองที่กระดาษค่ะ ต้องลองที่ผิวเราแบบจริงจัง แล้วค่อยๆเลือกเลย ถ้ามีโอกาสไปเลือกซื้อ อย่าเพิ่งซื้อจากการดมครั้งแรกนะคะ น้ำหอมยี่ห้อนี้ กลิ่นพัฒนาจากต้นกลิ่นไปยังปลายกลิ่นได้อย่างมีชั้นเชิง ราวกับว่าเป็นงานศิลปะชั้นเอกเลยทีเดียวค่ะ