ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยสนใจนำ้มันของโจ มาโลน มาก่อนเลย จนกระทั่งตอนไปซื้อนำ้หอมที่เคาท์เตอร์ ยอดซื้อขาดอีกนิดหน่อย ก็จะได้ส่วนลดเพิ่ม เลยต้องหยิบของเพิ่ม โดยหารู้ไม่ว่า เดี๋ยวจะต้องมางอกตามมาอีก ซึ่งก็เป็นจริงๆด้วยค่ะ
รีวิวนี้ เน้นเรื่องการใช้งานของนำ้มัน เราขอข้ามรายละเอียดของกลิ่นไปนะคะ สามารถอ่านได้ในตัวรีวิวอื่นๆของโจ มาโลนที่เราเคยเขียนไว้ได้ค่ะ

เท่าที่สังเกตดู bath oil จะมีไม่ครบทุกกลิ่นนะคะ มีเฉพาะกลิ่นที่ฮิตและดังเท่านั้น อย่างที่เรามี จะเป็น Red Rose , Peony & Blush Suede , Nectarine Blossom & Honey และ Black berry & Bay
จริงๆมีขายเยอะกว่านี้นะคะ แต่บางกลิ่นเลิกผลิตไป หรือบางกลิ่นหมด ในช่วงที่เราซื้อพอดี เราพยายามจะไม่เก็บให้ครบ อยากใช้ให้หมดก่อน แล้วค่อยซื้อใหม่ เพราะนำ้มันจะหมดอายุง่าย และกลิ่นเปลี่ยนไวกว่านำ้หอมค่ะ (นี่ขนาดยั้งมือแล้วนะเนี่ย) สนนราคา 250ML อยู่ราวๆสามพันกว่าบาทค่ะ
ข้อดีของ Bath Oil คือ เทใส่อ่างอาบนำ้ นอนแช่ตัวก็ได้ หรือจะเอามาทาผิวหลังอาบนำ้ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่ เราทาหลังอาบนนำ้มากกว่า เพราะเปลืองน้อยกว่าค่ะ นานๆที จะผสมนำ้ให้ลูกชายแช่ตัว หอมๆกัน กลิ่นฟุ้งไปทั่วทั้งบ้านเลย
อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบ เพราะตัวนำ้มัน กลิ่นแรงและฟุ้งมาก และเราก็ไม่แพ้นำ้มันตัวนี้ ยิ่งช่วงอากาศเย็นๆหน่อย อาบนำ้เสร็จ เราทานำ้มันตัวนี้ แล้วฉีดนำ้หอมทับ ตามจุดขายของแบรนด์เลย ที่ใช้นำ้หอมหลายกลิ่นผสมกันค่ะ แต่ใช้เดี่ยวๆก็ไม่เสียหายนะคะ กลิ่นฟุ้งกว่าฉีดนำ้หอมเสียด้วยซำ้
ส่วนผสมหลักๆเลย คือ นำ้มัน Sweet almond oil , Jojoba oil , Avocado oil ซึ่งตัวนำ้มันอัลมอนด์ ค่อนข้างเนื้อเบา ซึมเข้าผิวง่าย และไม่เหนียวเหนอะหนะ ใช้ค่อนข้างง่ายค่ะ เช็ดตัวหมาดๆ แล้วลูบทั่วผิว ก็ได้กลิ่นหอมทั้งวันเลยค่ะ
แต่การบำรุง ถือว่าเฉยๆนะคะ มีตัวอื่นที่บำรุงได้ดีกว่า ราคาย่อมเยากว่า (มาก) ตัวนี้ มีดีที่กลิ่นค่ะ
อ่อ เวลาเทผสมนำ้ในอ่าง ตัวนำ้มันจะกลายเป็นนำ้นม แช่ตัวหลังจากทำงานมาเหนื่อยๆ หืมมมม รู้สึกดีมากมายเลยทีเดียว
ปล. วางขวดแนวนอน เลยเหมือนจะเหลือเยอะ จริงๆ เราใช้ไปกว่าครึ่งขวดเเล้วนะคะ ด้วยปริมาณ ถือว่าใช้ได้นานพอสมควรเลยค่ะ
หมายเหตุ : กลิ่นที่ได้และรีวิวนั้นมาจากประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีประสาทสัมผัสที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความทรงจำ และสภาพแวดล้อม ไปจนถึงบุคลิกของผู้ใช้งานแต่ละบุคคลค่ะ